วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วาซวาซา


ความเศร้าโศก

อีกอาการของผู้ที่มี วาซวาซา ครอบงำอยู่ในความคิด หรืออีกนัยหนึ่งหมายถึง ผู้ที่รู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตและจมอยู่ในความเศร้าเสียใจนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้น บุคคลผู้นั้นยังไม่สามารถพาตัวเองออกมาจากวังวนของความเศร้าและความทุกข์ใจนั้นได้  หากวาซวาซาเกิดขึ้นกับผู้ศรัทธา เขาผู้นั้นอาจมีความคิดคำนึงว่าเป็นเพราะเหตุใดเขาจึงต้องมาเกิดบนโลก มันน่าจะดีกว่าถ้าเขาจะไม่มาเกิดบนโลกใบนี้ และจมอยู่ในความเศร้านั้น แต่หากเขาผู้นั้นมิใช่ผู้ที่อยู่ในศาสนาและมิมีความเกรงกลัวในอัลลอฮ์แล้ว ก็เป็นสิ่งง่ายดายที่เขาจะฆ่าตัวตายโดยไร้จิตคำนึงถึงสิ่งอื่นนอกจากจมกับความรู้สึกของตัวเองและทำตามความรู้สึกนั้นอย่างไร้จิตสำนึกใดๆ 

เหมือนเหตุการณ์ที่เราเห็นเกิดขึ้นทั่วไปในประเทศตะวันตกและคนทั่วโลก และนี่คือพิษภัยของ วาซวาซา เมื่อมันดำรงอยู่ในความคิดและจิตใจของผู้ใด ผลกระทบหลักๆของมันคือ การทำให้มนุษย์รู้สึกหลงทางและสับสนในความนึกคิดของตนเอง หลงวนในชีวิตของตนเอง และเมื่อไม่สามารถหาข้อสรุปให้แก่ความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในหัวใจและชีวิต และจบลงด้วยการฆ่าตัวตายเพราะไม่สามารถหาทางออกให้กับชีวิตได้

มีคำถามหนึ่ง ซึ่งเป็นคำถามที่เด็กๆมักจะชอบถาม เรามาบนโลกนี้ทำไม ทำไมเราถึงเกิดมา ตามหลักจิตวิทยา คำถามนี้มีต้นตอมาจากความคิดของ วาซวาซา เป็นคำถามที่มาจากคนที่จมอยู่กับความทุกข์และเบื่อหน่ายชีวิต หากเราจะพยายามช่วยหาทางให้คนจำพวกนี้เข้าใจแล้วละก็ วาซวาซาของเขาเหล่านั้นก็จะทำให้พวกเขาไม่พึงพอใจกับคำตอบที่เราให้ไป และถึงแม้เราจะพยายามที่จะพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นด้วยหลักฐานหรือการอธิบายใดๆ พวกเขาก็จะยังคงยืนยันว่าพวกเขาไม่ควรเกิดมาบนโลก ที่นี่ไม่ใช่ที่ของพวกเขาที่ควรมา 

มีหนังสือเรื่องหนึ่ง ผู้แต่งเล่าถึง เช้าวันหนึ่งที่เขาตื่นมาพร้อมกับความเศร้าและความมืดมนในชีวิต เขาเดินมาอ่านหนังสือพิมพ์กับความรู้สึกนั้นที่ยังคงลอยอวลอยู่ในห้วงคำนึง เขาได้เห็นข่าวสองข่าวซึ่งพาดหัวข่าวในหน้าเดียวกัน หากแต่เนื้อหานั้นช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ในเนื้อความของข่าวแรกนั้นกล่าวว่า มีชายคนหนึ่งใช้มีดผ่าท้องตัวเองและลากไส้ออกมาเพราะเค้ารู้สึกว่าอยากอยู่โดยไม่มีลำไส้อยู่ในท้องสักพัก และเขาก็เสียชีวิตหลังจากนั้นเพียงนาทีเดียว อีกข่าวหนึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับหญิงสาวผู้หนึ่ง เธอกล่าวว่า ด้วยความกรุณาที่ยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ ในทุกๆเช้าที่เธอได้ลืมตาตื่นขึ้นมา เธอได้ตื่นมาพร้อมกับความรื่นรมณ์ในหนทางชีวิตของเธอ เธอขอบคุณอัลลอฮ์ที่ให้เธอได้มีชีวิตอยู่และได้ให้โอกาสในการมีชีวิตอยู่เพื่ออัลลอฮ์ ในตอนนั้นเอง ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ได้ตระหนักว่า อะไรที่เป็นสาเหตุใดที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้มีความสุข และสิ่งใดที่ทำให้ชายผู้นั้นมีความทุกข์ถึงขนาดฆ่าตัวตายด้วยความเศร้าโศกและท้อแท้กับชีวิตตนเองเช่นนั้น 

เขาได้บทสรุปในตอนท้ายว่า ความคิดในด้านลบและการมองโลกในแง่ร้ายทั้งปวง มีต้นตอมาจาก วาซวาซา ของความคิด หรืออีกนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่า ความเหนื่อยหน่าย ความท้อแท้ การขาดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง คือวาซวาซาทางความคิด และมันมีผลกระทบโดยตรงต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน

ความเคลือบแคลงสงสัย

ผลกระทบอันร้ายแรงที่สุดของ วาซวาซา คือการทำให้คนๆหนึ่งเกิดความเคลือบแคลงสงสัย เริ่มต้นจากจิตใจของเขาถูกรบกวนด้วยความคิดอันชั่วร้ายเกี่ยวกับครอบครัวของเขา และแผ่ขยายไปสู่สังคมที่เขาอยู่ และหากเขายังคงปล่อยให้มันแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆในหัวใจของเขาแล้วละก็ เขาก็จะตกลงไปสู่การเคลือบแคลงสงสัยในอัลลอฮ์ คัมภีร์อัลกุรอานและรอซูลของพระองค์ ตลอดจนถึงเหล่าบรรดาเศาะฮาบะห์ และความเคลือบแคลงสงสัยนี้เองเป็นเหตุนำพาให้เขากลายเป็นผู้ปฏิเสธไป

ความเคลือบแคลงสงสัยนั้นมาจาก ชัยตอน โดยที่ชัยตอนนั้นจะเริ่มจุดความเคลือบแคงสงสัยเพียงจุดเล็กๆนี้ให้เกิดขึ้นในใจของผู้ศรัทธา และตราบใดที่เขาผู้นั้นเปิดโอกาสให้แก่ชัยตอนอยู่ มันจะนำพาเขาให้ตกลงไปหนทางลงสู่นรกที่สมบูรณ์ทั้งเจ็ดขั้น และมันจะไม่นำพาผู้ศรัทธาให้ตกลงไปน้อยกว่านี้ และมันก็จะเยาะเย้ยแก่ศรัทธาชนผู้นั้นว่า “เจ้าจมลึกลงสู่ก้นเหวของนรกด้วยตัวของเจ้าเอง ด้วยฉันทำสิ่งใดให้เจ้างั้นหรือ” ความเคลือบแคลงสงสัยถูกขับเคลื่อนด้วย วาซวาซาทางความคิดของผู้ที่เคลือบแคลงสงสัยในอัลลอฮ์และบ่าวของพระองค์ ซึ่งเริ่มด้วยจุดเล็กๆ และเลื่อนระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จนเขาไม่อาจหยุดยั้งมันได้

อันตรายของความเคลือบแคลงสงสัย

สิ่งที่เป็นอันตรายที่สุดของความเคลือบแคลงสงสัย คือ การที่มันนำทางผู้ศรัทธาไปสู่การทำบาป และเป็นเพราะ วาซวาซาทางความคิดประกอบกับความเคลือบแคลงสงสัยนี้เอง มีผลกระทบให้เขาผู้นั้นมองผู้อื่นว่าเป็นคนบาป และเป็นผู้ประพฤติบาป และยังผลให้เขาต้องการลงโทษผู้ทำบาปนั้น ความเคลือบแคลงสงสัยสามารถชักนำผู้คนให้สังหารผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะคิดว่าเขาผู้นั้นเป็นคนบาปในทัศนคติของเขาเอง ในวาซวาซาของเขาเองที่สร้างขึ้น เรามิควรประมาทผู้ที่ชอบระแวงสงสัยผู้อื่น เพราะในบางครั้งผู้ที่ชอบระแวงสงสัยผู้อื่นนั้นสามารถเข้าข่ายคนวิกลจริตได้ และสามารถนำความเสียหายมาสู่สังคมได้เช่นกัน 

ยกตัวอย่างเช่น สามีผู้เคลือบแคลงในตัวภรรยา และนี่คือบาปใหญ่ เช่น เมื่อมีชายผู้หนึ่งเดินสวนทางพวกเขา และสามีได้พูดราวกับคนเสียสติขึ้นมาว่า ชายผู้นั้นมองมาที่เธอ นี่คือพฤติการณ์ของผู้ที่ถูกครอบงำด้วยวาซวาซา หรือแม้แต่ในบางครั้งที่ภรรยาเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวสามี ว่าด้วยสามีอาจมีอายุมากขึ้นและมีความต้องการทางเพศที่ลดลง ทำให้เธอหวาดระแวงในตัวเขาและเมื่อเขากลับมาบ้าน เธอก็ร่ำไห้ต่อว่า ว่าเขาแอบไปมีภรรยาลับ และฟาดหัวฟาดหางว่าเขาไปทำอะไรมาในช่วงเวลาที่หายไป เช่นนี้เป็นต้น

ต่อไปนี้คือตัวอย่างเรื่องราวอันที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมุสลิม ที่เกิดจากการถูกครอบงำด้วยวาซวาซา

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งนอนเล่นดูดาวด้วยกัน ณ ระเบียงบ้านยามค่ำคืน เป็นที่รู้กันว่า ดวงดาวทั้งหลายจะเรียงตัวกันผินไปทางกิบลัตต์ สามีเอ่ยถามภรรยาว่า “เธอว่าการร้อยเรียงของดวงดาวเหล่านี้สำคัญอย่างไร” ภรรยากล่าวตอบด้วยสายตาที่ชื่นชมบนดวงดาวนั้นๆ “มีคนบอกว่า มันเป็นเครื่องชี้นำทางไปสู่กิบลัตต์ หากเมื่อเหล่าผู้ฮัจจีหลงทาง ดวงดาวเหล่านี้ก็จะนำทางให้เขาไปสู่ทิศทางที่ถูกต้อง” เมื่อสามีได้ฟังคำตอบนั้น เขาก็โมโห และเริ่มทุบตีภรรยา และด่าทอด้วยเสียงอันดัง “ฉันรู้แล้วว่า ทำไมเธอถึงให้ฉันมานอนที่นี่ เธอคิดจะผลักฉันไปให้ตกลงไปให้พวกฮัจจีฆ่า แล้วเธอจะได้แต่งงานใหม่ใช่ไหม” ถึงแม้ว่านี่อาจเป็นเพียงเรื่องเล่าของสามีภรรยาคู่หนึ่ง แต่หากเรื่องนี้ เผยให้เห็นถึงสามีผู้ตกเป็นเหยื่อของการถูกครอบงำด้วยวาซวาซา และภรรยาก็ตกเป็นเหยื่อของพฤติกรรมของวาซวาซาที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ใจและมลทิลในใจ 

ต่อมา สามีภรรยาคู่นี้ได้มาขอคำปรึกษาจากอิมาม อิมามได้ให้แนะนำภรรยาว่า วาซวาซานั้นแบ่งออกเป็นสองนัยยะ คือวาซวาซาทางความคิดและพฤติกรรม อันนำไปสู่ความเคลือบแคลงสงสัยในทั้งสองกรณี ฝ่ายชายถูกครอบงำทางความคิดด้วยวาซวาซา ส่วนภรรยาถูกครอบงำด้วยการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ยังผลให้สามีเกิดความระแวงสงสัยในตัวเธอ และอิมามจึงบอกแก่เธอว่าจงทำตามคำแนะนำของเขา ภายในหกเดือนนี้พวกเขาจะดีขึ้น หากกลับกลายเป็นว่า สามีมองอิมามผู้นี้ด้วยความเคลือบแคลงไม่กล่าวตอบรับสิ่งใดและเดินจากไป หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ชายผู้นั้นได้โทรศัพท์มาหาอิมามและกล่าวแก่เขาว่า  

ฉันรู้นะว่าท่านจะแนะนำให้ภรรยาของฉันไปอยู่กับท่านหกเดือนเพื่อเยียวยาเธอ และท่านก็จะทำให้เธอหย่าขาดจากฉันแล้วมาแต่งงานกับท่านใช่ไหม  

ชายผู้นี้กล่าวหาอิมามราวกับคนบ้า และมีคนอีกมากมายที่มีชีวิตที่ปั่นป่วนเช่นนี้ ในสังคมครอบครัวทั่วไป

อีกตัวอย่างหนึ่ง หากเมื่อสามีภรรยาเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวกันและกันขึ้น พวกเขาก็สามารถเห็นคู่ครองเป็นดั่งหัวขโมยได้เช่นกัน มีตัวอย่างอยู่ว่า เมื่อสามีใช้เงินไปและเขาลืมว่าตนเองใช้จ่ายไปกับสิ่งใด หรือแม้แต่หากว่าเงินของเขาหล่นหาย เขาก็จะกล่าวโทษและมุ่งชี้ไปว่าภรรยาของเขานั้นเองที่เป็นคนขโมยเงินของเขาไป เขากล่าวหาเธอว่าเป็นหัวขโมย เป็นหญิงที่นอกใจสามี และไร้ยางอาย ในทำนองเดียวกันกับภรรยาผู้ระแวงสามีด้วยพฤติการณ์เช่นนี้ ก็สามารถพูดได้ว่า เธอได้ตกลงไปสู่การครอบงำจาก วาซวาซาแล้ว

และนี่ก็เป็นบาปใหญ่ซึ่งมีกล่าวไว้ในกุรอานว่า

وَ لَا تَقْفُ مَا لَيْسَ لَكَ بِهِ عِلْمٌ إِنَّ السَّمْعَ وَ الْبَصَرَ وَ الْفُؤَادَ كلُ‏ُّ أُوْلَئكَ كاَنَ عَنْهُ مَسُْولا

 (O man), follow not that whereof thou hast no knowledge. Lo! The hearing and the sight and the heart--- of each of these it will be asked. (Sura al-’Isra’, 17: 36)

และอย่าติดตามสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น แท้จริงหู และตา และหัวใจ ทุกสิ่งเหล่านั้นจะถูกสอบสวน”

ก้อตาดะฮ.กล่าวไว้ว่า อย่าพูดว่าฉันเห็นเมื่อท่านไม่เห็นกับตา อย่าพูดว่าฉันได้ยินเมื่อท่านไม่ได้ยินกับหูเอง และอย่าพูดว่าฉันรู้ในเมื่อท่านไม่รู้ เพราะอัลลอฮ. ตะอาลา จะทรงถามท่านในเรื่องนั้นทั้งหมด

หากสามีเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตัวภรรยาแต่เขาก็มิได้ทำสิ่งใดให้เธอรับรู้ หรือแม้แต่บอกกล่าวมันกับผู้ใด หากเมื่อถึงวันแห่งการพิพากษา หัวใจของเขานั้นแลที่จะเป็นพยานว่าเขาผู้นี้เคยเคลือบแคลงสงสัยในตัวภรรยา ในศาสนาอิสลามมีข้อห้ามที่เข้มงวดมากกับการเคลือบแคลงสงสัยในตัวผู้อื่น มุสลิมที่ดีไม่ควรที่จะกล่าวโทษผู้ใดด้วยเพียงสิ่งที่เขาสงสัยในคนผู้นั้น
อัลกุรอาน กล่าวว่า
ْ وَ ظَنَنتُمْ ظَنَّ السَّوْءِ وَ كُنتُمْ قَوْمَا بُورًا

… And ye did think an evil thought, and ye were worthless folk.( Sura al Fath, 48: 12)

หามิได้พวกเจ้าคิดว่า อัรรอซูลและบรรดามุอมินผู้ศรัทธาจะไม่กลับไปยังครอบครัวของพวกเขาเป็นอันขาด และนั่นได้ถูกทำให้เป็นที่เพริศแพร้วในจิตใจของพวกเจ้า และพวกเจ้าได้คิดร้ายและพวกเป็นหมู่ชนที่วิบัติ

มีอรรถาธิบายด้วยซุเราะฮ์นี้ว่า พวกมุนาฟิกีนคิดกันว่า ท่านรอซูล และบรรดาสาวกจะไม่มีทางกลับไปหาครอบครัวของพวกเขาในนครอัลมะดีนะฮ.เป็นอันขาด โดยคิดว่าพวกมุชริกีนมักกะฮ.จะฆ่าพวกเขาจนหมดสิ้นในการคิดร้ายของพวกมุนาฟิกีนเช่นนี้ ย่อมจะนำความพินาศมาสู่พวกเขาเป็นการสมควรแล้วที่พวกเขาจะได้รับความกริ้วและการลงโทษของพระองค์ 

ในสังคมที่ความเคลือบแคลงสงสัยถูกทำให้เจริญขึ้นย่อมนำพาความเสียหายมาสู่สังคมนั้นๆ อย่างแน่นอน และมันจะนำพาความเย็นยะเยือก อ้างว้าง และเปล่าเปลี่ยวให้กับชีวิตของพวกเขาทั้งบนโลกและชีวิตหลังความตาย ซึ่งสิ่งนี้เป็นดังเชื้อโรคที่แพร่ระบาดไปในหัวใจของมนุษย์ แม้เมื่อเขาได้ตายไป ความเคลือบแคลงนี้จะเป็นประดุจหนอนรังไหมซึ่งถักทอหุ้มห่อเขาไว้ในรังแห่งความทุกข์นี้มิรู้จบ

เมื่อความเคลือบแคลงเกิดขึ้น จงกล่าวกับหัวใจท่านเถิดว่า
قُتِلَ الخَْرَّصُونَ‏
الَّذِينَ هُمْ فىِ غَمْرَةٍ سَاهُون

Accursed be the conjecturers
Who are careless in an abyss! (Sura Zaariyaat, 51: 10 – 11)

ผู้ที่กล่าวเท็จแก่ท่านนบี จะถูกสาปแช่ง
คือบรรดาผู้ที่พวกเขาอยู่ในการสับสนหลงลืม (เรื่องวันอาคิเราะฮ.)

อรรถาธิบายถึงซูเราะห์นี้ว่า คือผู้ที่ถูกหันเหออกจากการฮิดายะฮ. และถูกห้ามจากความสุขนั้น เขาถูกหันเหออกจากการอีหม่านต่ออัลกุรอานและมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

เป็นเช่นหนอนไหม หากผู้ใดยังคงชักพันใยล้อมรอบความคิดของตนไว้ด้วยรังไหมของความเคลือบแคลงและความหลงผิดแล้วไซร้ เขาเองจะเป็นผู้ไร้อากาศหายใจจนวันตายด้วยตัวของเขาเอง ท่านรอซูลกล่าวว่า อัลลอฮ์ทรงชี้แจงถึงสิ่ง ฮะรอม ที่อันเกิดขึ้นต่อมุอมิน อยู่สามประการ นั้นคือ

  1.  การฆ่าผู้บริสุทธิ์ นั้นคือ ฮะรอม 
  2.  ช่วงชิงสมบัติของผู้บริสุทธิ์ นั้นคือ ฮะรอม 
  3.  เคลือบแคลงสงสัยในผู้อื่น นั้นคือ ฮะรอม
ท่านรอซูลได้ยกระดับความร้ายแรงของการฆ่าผู้บริสุทธิ์ การช่วงชิงสมบัติ และการเคลือบแคลงสงสัยผู้อื่น ไว้ในระดับเดียวกัน อันกำลังบ่งบอกถึงความสำคัญที่จงควรระวังรักษาตัวให้พ้นไปจากการตกลงสู่ความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งถือเป็นบาปใหญ่ในอิสลาม เมื่ออัลลอฮ์ทรงห้าม และมุสลิมผู้เป็นสามีได้กล่าวหาภรรยาผู้บริสุทธิ์เพียงหนึ่งประโยค จะเป็นเหตุให้เธอไม่มีวันลืมประโยคนี้ ถึงแม้เธอจะพยายามให้อภัยเขาและพยายามจะลืมมันก็ตาม ถ้าหากผู้เป็นภรรยาเป็นมุอมินและถูกกล่าวหาหรือเคลือบแคลงแล้วไซร้ สิ่งนี้มิเพียงจะทำลายความรักที่เธอมีต่อสามี หากแต่เขาเองจะเป็นผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังลงสู่หัวใจเธอด้วยตัวของเขาเอง

หรือทำนองเดียวกันกับสามีของหญิงผู้ถูกความเคลือบแคลงครอบงำ เธอเองก็จะเป็นผู้นำพาความเสียหายมาสู่ตนเช่นเดียวกัน 

ในผู้ใดที่กระเสือกกระสนดิ้รนทำงานด้วยความเหนื่อยยาก เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว และหากพวกเขาได้รับความเคลือบแคลงเป็นการตอบแทน นั่นก็มิใช่ความหลักแหลมอันใดนอกจากความโง่เขลาของบุคคลในครอบครัวนั้นๆ เอง ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ว่า

وَ إِنَّ الشَّيَطِينَ لَيُوحُونَ إِلىَ أَوْلِيَائهِمْ لِيُجَدِلُوكُمْ وَ إِنْ أَطَعْتُمُوهُمْ إِنَّكُمْ لمَُشرِْكُون

Lo! The devils do inspire their minions to dispute with you. But if ye obey them, ye will be in truth as idolaters. (Sura al An'am, 6: 122)

เมื่อชัยตอนได้กระซิบกระซาบแก่ในหัวอกของผู้ใด เพื่อกระตุ้นให้เธอตกลงไปสู่การกระทำที่ผิด ภรรยาผู้ชาญฉลาดมิควรที่จะหาเรื่องอันใดที่จะนำพาความเสียหายมาสู่ความรักของสามีโดยที่ให้ความใส่ใจกับเสียงกระซิบกระซาบที่ล่อหลอกนั้น ขออัลลอฮ์ทรงโปรดคุ้มครองมุสลิมีนและมุสลิมะห์จากการตกลงไปสู่ความเคลือบแคลงในกันและกันด้วยเถิด 

การเคลือบแคลงในคู่ครองของตนที่จะนำไปสู่การตกสู่บาปใหญ่ของมุสลิมนั้น ส่วนใหญ่โดยปกติแล้ว ภรรยาจะไม่คิดเคลือบแคลงว่าสามีจะมีชู้ หากแต่จะกล่าวโทษเพราะกลัวว่าเขาต้องการแต่งงานอีกมากกว่า แต่หากสามีสงสัยว่าภรรยาคบชู้ และกล่าวหาเธอ นักกฎหมายสามารถสั่งลงโทษด้วยการเฆี่ยน ระหว่าง ๒๙ ถึง ๗๙ ครั้งได้ เนื่องเพราะการสงสัยในบุคคลอื่นนั้นเป็นบาปใหญ่ และกุรอานก็ระบุไปถึงว่า และมันสามารถเป็นเหตุทำให้ถึงแก่ความตายได้นั้น ด้วยเหตุนี้เอง มันเป็นความจำเป็นที่ไม่ควรให้เกิดความเคลือบแคลงใดๆขึ้นในครอบครัวของมุสลิม คนในครอบครัวไม่ควรสงสัยกันเองและไม่ควรพาดพิงเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอกบ้านด้วยเช่นกัน

การสอดแนม

ในบางครั้ง ความเคลือบแคลงนำพาให้บุคคลหนึ่งสอดแนมความลับของอีกคนหนึ่งลับหลัง การสอดแนม สืบความลับของผู้อื่น เป็นบาปใหญ่ในในอิสลาม ท่านรอซูลกล่าวว่า “โอ้ ผู้ศรัทธา ผู้ใดปรารถนาจะรักษาลิ้นและหัวใจของท่าน จงอย่าสอดแนมผู้อื่น จงอย่าเสาะหาข้อบกพร่องของผู้อื่น หากท่านสอดแนมผู้อื่น อัลลอฮ์จะทำให้ท่านได้ขายหน้า ถึงแม้ท่านจะเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมเพียงใดก็ตาม จงระวังรักษาหัวใจให้ห่างไกลจากการสอดแนม เพราะความสงสัยจะเป็นต้นเหตุให้ท่านปรารถนาจะสอดแนมผู้อื่น”

บางครั้งความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นเหตุที่นำไปสู่การทำผิด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีมุสลิมะห์ผู้หนึ่งยืนอยู่ ณ ธรณีประตูบ้านนาง แลเห็นชายแปลกหน้าเดินเข้าไปในบ้านของเพื่อนบ้าน หากเธอเป็นผู้ศรัทธา เธอควรคิดว่า ชายผู้นั้นคือญาติห่างๆ หรือคนรู้จักที่มาเยี่ยมเยียนด้วยธุระอย่างใดอย่างหนึ่ง และจงวางมันไปเสีย ด้วยการสั่งห้ามของอัลลอฮ์ แต่หากเธอก็ยังสอดแนมเพื่อนบ้าน และไปเล่าต่อขานแก่ผู้คน สิ่งนี้จะนำพาความบาปนับไม่ถ้วนมาสู่เธอ จากการฝ่าฝืนนั้น การเป็นสาเหตุแห่งการแตกแยกของครอบครัวผู้อื่น เป็นบ่อนทำลายที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นมุสลิมให้ตกลงไปสู่โลกที่ชั่ว

ท่ารอซูลได้เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ศร้ทธาสมควรมีทัศนคติอันดีต่อพี่น้องมุสลิมด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีความปรารถนาดีต่อกันอีกด้วย พี่น้องมุสลิมควรช่วยกันปิดบังความบกพร่องของพี่น้องมุสลิมด้วยกันเองอย่างที่สุด เพื่อบรรลุถึงความศรัทธา มุสลิมควรสมัครสมานสามัคคี และห่างไกลจากการสอดแนมพี่น้องแลเพื่อนบ้านและนำไปกล่าวต่อสาธารณะ ซึ่งโดยส่วนมากผู้ที่ง่ายต่อการตกลงไปสู่ความชั่วร้ายนี้ คือสตรี สิ่งที่ควรพึงระลึก คือการสอดแนมและนำไปโพทนานั้นเท่ากับเป็นการสูบเลือดเนื้อออกไปจากพี่น้องกันเอง แล้วเหตุใดมุสลิมจึงสมควรที่จะนำพาตนเองให้ตกลงไปสู่การทำชั่วนั้นเล่า

ความอยากรู้อย่างเห็นและการนินทาคือโรคร้ายแรง หากแต่สามารถรักษาให้หายด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยภาษิตที่ว่า “จงให้อภัยและลืมมันเสีย” ถึงแม้ผู้ใดจะสังเกตุเห็นข้อบกพร่องอันใดในตัวภรรยาของพวกเขา เขาควรคิดและมองโลกในแง่ดีกับเธอก่อนเป็นอันดับแรก นี่จะเป็นการตบหน้าชัยตอนมารร้ายที่จะหลบหนีไปทันทีอย่างแท้จริง 

แต่หากผู้ใดเดินตามเสียงกระชิบของมัน มันก็จะล่อลวงเขาให้ตกลงไปสู่โรคแห่งความบ้าคลั่งในที่สุด ซึ่งเมื่อผู้ใดเป็นโรคนี้แล้วมันย่อมทำลายทั้งโลกนี้และโลกหน้าของเขาอย่างสิ้นเชิง หากแต่ผู้ใดพยายามที่จะเยียวยาตนเอง มันก็แสนง่ายดายด้วยการไม่ให้ความสำคัญใดๆกับความเคลือบแคลงสงสัยและการนินทา ณ เวลานั้นๆ
ดังอัลกุรอานกล่าวไว้ว่า
إِنَّ الظَّنَّ لا يُغْني‏ مِنَ الْحَقِّ شَيْئا

Indeed conjecture is no substitute for the truth (Sura Yunus, 10: 36)

และส่วนใหญ่ของพวกเขามิได้ปฏิบัติตามสิ่งใด นอกจากการนึกคิด แท้จริงการนึกคิดนั้นไม่อาจจะแทนความจริงได้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงรอบรู้ในสิ่งที่พวกเขากระทำ

อัสสลามมุอะลัยกุม










1 ความคิดเห็น:

hana กล่าวว่า...

ซีรีน กดตรง ความคิดเห็นนะ มันจะขึ้นบล๊อคให้เขียน แล้วพิมพ์ลงไป แล้วเผยแพร่เลย อินชาอัลลอ จะได้รู้ว่าอันไหนอ่านแล้วมั่ง